เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ศึกชิงแชมป์โลก WBA รุ่นเฟเธอร์เวตที่ริยาดห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อคืนวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา (ตรงกับเช้ามือดเวลาไทย 17 ส.ค.) แชมป์โลกชาวอังกฤษ นิก บอลล์ เอาชนะคะแนน แซม กู๊ดแมน ผู้ท้าชิงชาวออสเตรเลีย อย่าเป็นเอกฉันท์ 117-111, 118-110, และ 115-113 ป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้เป็นครั้งที่ 3 แต่เกมการชกถูกวิจารณ์ว่าเป็นไฟต์ที่จืดชืด และไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ของว่าที่คู่ชกที่น่าเกรงขามของ ‘มอนสเตอร์’ นาโอยะ อิโนอุเอะ แชมป์โลก 4 สถาบันหลักรุ่น 122 ปอนด์ได้
สำหรับกู๊ดแมนนั้นเป็นอดีตว่าที่ผู้ท้าชิงภาคบังคับของ WBO และ IBF ที่เคยถูกวางตัวให้เจอกับอิโนอุเอะถึง 2 ครั้ง แต่ต้องถอนตัวเพราะเกิดแผลแตกระหว่างซ้อซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไฟต์ล่ม ทำให้เขาสูญเสียรายได้จำนวนมากที่ควรจะได้รับ ถึงขั้นมีปัญหาทางด้านการเงิน เขาจึงขึ้นเวทีครั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นอย่างสูง และถึงแม้จะแพ้ก็ยังได้รับคำชื่นชมจากคนโตแห่ง ริยาดห์ ซีซัน และบอกว่าอยากเห็นกู๊ดแมนกลับมาขึ้นชกในรายการของเขาอีก
รูปเกมการชกในไฟต์นี้ กู๊ดแมนที่รูปร่างสูงยาวกว่าใช้สเต็ปฟุตเวิร์คและคุมระยะห่างได้ดี ทำให้บอลล์บุกเข้าหาไม่ถนัดในช่วงแรก ก่อนที่บอลล์มาจะเริ่มจับจังหวะได้ตั้งแต่ยก 5 และเดินสาวหมัดชุดเร่งเครื่องจนคุมสถานการณ์ได้ในยกท้ายๆ แต่ผลคะแนนนั้นกลับทำใแมให้ทุกคนงุนงง เพราะไม่มีการน็อกดาวน์ ในการชกไฟต์นี้แต่อย่างใด แต่กรรมการ 2 นายกลับให้คะแนนบอลล์ชนะขาดลอย โดยเฉพาะ 118-110 ที่ถูกวิจารณ์ว่าห่างมากจนเกินไป
หลังการชกจบลงบอลล์ถูกถามถึงการพบกับอิโนอุเอะ แต่เขากลับเลือกตอบว่าจะมุ่งเป้าไปที่การล้มแชมป์ในพิกัดเฟเธอร์เวตเสียก่อน โดยปัจจุบันเจ้าของเข็มขัดสถาบันอื่นนั้นได้แก่ ราฟาเอล เอสปิโนซา (WBO), แองเจโล เลโอ (IBF) และฝั่ง WBC นั้นมีแชมป์โลก 3 รายคือ สตีเฟน ฟูลตัน (แชมป์ตัวจริง), บรูซ แคร์ริงตัน (แชมป์เฉพาะกาล) และเรย์ วาร์กัส (แชมป์ลาพัก) ทำให้เชื่อว่าศึกการล้มแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวตนั้นมีแนวโน้มสูงมากที่จะเกิดขึ้น
ด้านอิโนอุเอะเองนั้นมีคิวป้องกันแชมป์โลกรุ่น 122 ปอนด์ 4 สถาบันกับ มูรอดจัน อัคห์มาดาลีเยฟ ที่นาโกยา ในวันที่ 14 ก.ย.นี้ และมีแผนจะขยับขึ้นรุ่นเฟเธอร์เวตในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นศึกบอลล์–กู๊ดแมนในครั้งนี้จึงไม่เพียงจะไม่อาจพิสูจน์ว่าใครคือคู่ชกที่เหมาะสมที่แท้จริงของอิโนอุเอะ แต่กลับยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของความเหนือชั้นกว่าทั้งคู่ของอิโนอุเอะนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
Original Photo Credit: Reuters via www.ronspo.com